1. ชื่อสมุนไพร กระเจี๊ยบแดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Hibiscus sabdariffa L.
ชื่อวงศ์ MALVACEAE
ชื่อพ้อง ไม่มี
ชื่ออังกฤษ Jamaica sorrel, Roselle
ชื่อท้องถิ่น กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบเปรี้ยว ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง ส้มตะเลงเครง ส้มปู
2. ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
พืชล้มลุก ลำต้นมีสีแดงอมม่วง ใบเดี่ยว รูปฝ่ามือ ส่วนปลายใบแยกเป็น 3 หรือ 5 แฉก มีขน หูใบรูปยาวแคบ ร่วงง่าย ดอกเดี่ยว มีกลีบดอกสีเหลืองอ่อนหรือชมพูอ่อน โคนกลีบมีสีแดง เกสรตัวผู้เชื่อมกันเป็นหลอด ผลแห้ง แตกได้ เป็นรูปไข่ป้อม มีจงอยสั้นๆ ขนหยาบสีเหลือง และมีกลีบเลี้ยงสีแดงลักษณะฉ่ำน้ำหุ้มไว้
3. ส่วนที่ใช้เป็นยาและสรรพคุณ
- กลีบเลี้ยง รักษาอาการปัสสาวะขัด
4. สารสำคัญที่เป็นสารออกฤทธิ์
ไม่มีข้อมูล
5. ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
5.1 ฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ
จากการศึกษาในหลอดทดลองพบว่าน้ำมันและสารสำคัญประเภท unsaponifiable matter ในดอกมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย Salmonella typhi, Staphylococcus albus และ Bacillus anthracis น้ำกระเจี๊ยบมีฤทธิ์ต้านเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคอุจจาระร่วง สารสกัดด้วยน้ำร้อนจากกลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบมีฤทธิ์ต้านเชื้อ Staphylococcus aureus และ Bacillus cereus อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาในผู้ป่วย เมื่อให้ผู้ป่วย 32 คน รับประทานน้ำชงกระเจี๊ยบในขนาด 6 กรัม วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน และให้ผู้ป่วยดื่มน้ำไม่น้อยกว่า 2 ลิตรต่อวัน พบว่าน้ำชงกระเจี๊ยบไม่มีผลฆ่าเชื้อแบคทีเรียในระบบขับถ่ายปัสสาวะในผู้ป่วย
5.2 ฤทธิ์ขับปัสสาวะ
เมื่อให้ผู้ป่วยดื่มน้ำสกัดกลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบแดง พบว่ามีฤทธิ์ขับปัสสาวะ จากการศึกษาในผู้ป่วย 50 คนใช้กลีบกลีบเลี้ยงกระเจี๊ยบแดงแห้งบดเป็นผง 3 กรัม ชงน้ำเดือด 1 ถ้วยแก้ว หรือประมาณ 300 มิลลิลิตร ให้ผู้ป่วยดื่มวันละ 3 ครั้ง นาน 7 วัน ถึง 1 ปี พบว่าได้ผลดีในการขับปัสสาวะ
5.3 ฤทธิ์ป้องกันการเกิดนิ่ว
จากการศึกษาในอาสาสมัครสุขภาพดีพบว่าน้ำกระเจี๊ยบแดงไม่มีผลป้องกันการเกิดนิ่ว เมื่อทดสอบโดยให้อาสาสมัครสุขภาพดีอายุ 27-45 ปี จำนวน 6 คน ดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงความเข้มข้นร้อยละ 4 ติดต่อกัน 4 ครั้งๆ ละ 250 มิลลิลิตรเป็นเวลา 1 วัน แล้วทำการตรวจปัสสาวะหลังจากการดื่มครั้งสุดท้าย 24 ชั่วโมง พบว่าน้ำกระเจี๊ยบไม่มีผลลดค่าการตรวจทางห้องปฏิบัติการต่างๆ ซึ่งใช้ประเมินการเกิดนิ่ว รวมทั้งเมื่อศึกษาโดยให้ดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงความเข้มข้นร้อยละ 1.2 ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก็ไม่พบผลป้องกันการเกิดนิ่วเช่นกัน เมื่อให้อาสาสมัครสุขภาพดี 36 คน ดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงขนาดวันละ 16 กรัม (แบ่งดื่มวันละ 4 ครั้ง) นาน 7 วัน (ระยะที่ 1) แล้วให้พัก 2 สัปดาห์ จากนั้นดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงขนาดวันละ 24 กรัม (แบ่งดื่มวันละ 4 ครั้ง) นาน 7 วัน (ระยะที่ 2) แล้วทำการตรวจปัสสาวะพบว่า การดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงขนาดวันละ 16 กรัม จะมีผลทำให้การขับออกของสารต่างๆออกทางปัสสาวะลดลงมากกว่าขนาดวันละ 24 กรัม การกินกระเจี๊ยบแดงจึงไม่มีประโยชน์ต่อการป้องกันการเกิดนิ่วในไต และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไตอีกด้วย ดังนั้นผลจากการกินกระเจี๊ยบแดงในระยะยาวและในขนาดสูงกว่า 24 กรัม/วัน ยังต้องทำการศึกษาต่อไป
ส่วนอีกการศึกษาหนึ่งทำในผู้ป่วยโรคนิ่วหรือโรคทางเดินปัสสาวะ และผู้ป่วยหลังการผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมาก เมื่อให้ดื่มน้ำกระเจี๊ยบ 3 กรัม ชงกับน้ำเดือด 1 แก้ว วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 1 ปี พบว่าร้อยละ 80 ของผู้ป่วยมีปัสสาวะใสขึ้น และปัสสาวะมีความเป็นกรด จึงช่วยฆ่าเชื้อในทางเดินปัสสาวะด้วย
6. อาการข้างเคียง
ยังไม่มีรายงาน
7. ความเป็นพิษทั่วไป
7.1 การทดสอบความเป็นพิษ
เมื่อป้อนสารสกัดด้วยน้ำจากกลีบเลี้ยง พบว่ามีไม่มีพิษเมื่อทดสอบกับกระต่าย และมีพิษเล็กน้อยเมื่อทดสอบกับหนูแรท แต่ไม่พบความเป็นพิษในหนูเม้าส์และหนูแรทที่กินสารสกัดด้วยน้ำจากกลีบเลี้ยงขนาด 4 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เมื่อฉีดสารสกัดด้วยน้ำจากกลีบเลี้ยงเข้าช่องท้องหนูเม้าส์ทั้งสองเพศ พบว่ามีพิษเล็กน้อย
7.2 ฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง
เมื่อฉีดสารสกัดด้วยน้ำจากกลีบเลี้ยงเข้าช่องท้องหนูถีบจักรทั้งสองเพศ ขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบว่ามีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง
7.3 พิษต่อตับ
เมื่อให้ส่วนที่ละลายน้ำหลังจากที่ได้จากสารสกัดแอลกอฮอล์:น้ำจากกลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบกับหนู พบว่าหนูทุกกลุ่มที่ได้รับส่วนที่ละลายน้ำจะมีเอนไซม์ที่แสดงถึงการทำงานของตับสูงขึ้นได้แก่ aspartate aminotransferase(AST) และ alanine aminotransferase (ALT) แต่ไม่มีผลต่อระดับของ alkaline phosphatase และ lactate dehydrogenase (LDH) นอกจากนี้การได้รับส่วนที่ละลายน้ำเป็นเวลานานยังทำให้ระดับอัลบูมินในเลือดสูงขึ้น แต่ไม่พบการเปลี่ยนแปลงในลักษณะเนื้อเยื่อของตับและหัวใจของหนูทุกกลุ่ม ดังนั้นในการกินส่วนสกัดนี้ในขนาดสูงหรือเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เป็นพิษต่อตับได้
8. วิธีการใช้
8.1 การใช้กลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบแดงรักษาอาการปัสสาวะขัด ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขมูลฐาน)
ใช้กลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบแดงแห้ง 3 กรัม บดเป็นผง ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วยแก้ว หรือประมาณ 300 มิลลิลิตร ดื่มวันละ 3 ครั้ง นาน 7 วัน ถึง 1 ปี (6)
8.2 ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ
ไม่มี
ขอบคุณข้อมูล :
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล