เพชรสังฆาต สมุนไพรที่มีค่าดั่งตำลึงทอง
เพชรสังฆาต เป็นสมุนไพรที่ในสมัยก่อนใช้สำหรับรักษาปัญหาเกี่ยวกับระบบฮอร์โมนในเพศหญิง เช่น วัยทอง ประจำเดือนผิดปกติ ความต้องการทางเพศ และใช้รักษากระดูกหัก โดยมีผลเพิ่มมวลกระดูกและช่วยให้กระดูกสมานได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังใช้แก้ปวด และรักษาริดสีดวงทวารหนัก
สำหรับ ฤทธิ์ของเพชรสังฆาตที่มีการศึกษาวิจัย พบว่าทำให้นอนหลับได้เร็วขึ้น และนานขึ้นในหนูทดลองที่ได้รับยานอนหลับ ลดการชักในหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้ชักด้วยการช็อตไฟฟ้าได้ 60-75%
ในระบบของกระดูก มีการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าเพชรสังฆาตช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก จากการที่มีฤทธิ์กระตุ้นเซลล์สร้างกระดูกให้เพิ่มขึ้น และเพิ่มการสร้างคอลลาเจนในเซลล์สร้างกระดูก และยังป้องกันการสูญเสียมวลกระดูกใน หนูทดลองที่ถูกตัดรังไข่ เพื่อจำลองให้เกิดสภาวะเหมือนหญิงวัยทอง โดยมีผลเทียบเท่ากับยาแผนปัจจุบัน คือ raloxifene โดยน่าจะเป็นผลจากการที่ในเพชรสังฆาตพบสารกลุ่มไฟโตเอสโตรเจนมาก เนื่องจากในหนูที่ได้รับเพชรสังฆาต พบการเพิ่มขึ้นของระดับเอสโตรเจน และวิตามินดีในเลือด ข้อดีของเพชรสังฆาต เมื่อเปรียบเทียบกับการให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทน พบว่าเพชรสังฆาต ให้ผลดีทั้งในเรื่องของความหนา ความแข็งแรง และความหนาแน่นมวลกระดูก ขณะที่เอสโตรเจน จะไม่มีผลในเรื่องความหนาแน่นของมวลกระดูก เพชรสังฆาตยังมีฤทธิ์ลดอาการปวด โดยการศึกษาหนึ่ง ทดลองให้รับประทานวันละ 3200 มิลลิกรัม เป็นเวลา 2 เดือน พบว่าให้ผลดีในการลดอาการปวดข้อ โดยไม่มีผลต่อกระเพาะอาหาร เนื่องจากพบว่าเพชรสังฆาตออกฤทธิ์ลดการหลั่งกรด และรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ ด้วยกลไกเดียวกันกับยา omeprazole ผลในการเพิ่มระดับเอสโตรเจนของเพชรสังฆาต พบว่าช่วยเพิ่มความต้องการทางเพศในหนูทดลอง และน่าจะมีผลดีการช่วยคงความสาวให้กับหญิงวัยทอง
ผลดี ของเพชรสังฆาตในผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน มีการศึกษาหนึ่งทดลองในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน โดยคัดคนที่มีดัชนีมวลกาย หรือ BMI มากกว่า 26 kg/m2 ให้ทานเพชร สังฆาตรมื้อละ 150 มิลลิกรัม ก่อนอาหาร วันละ 2 มื้อ เป็นเวลา 10 สัปดาห์ โดยไม่มีการปรับเปลี่ยนการกินและการออกกำลังกาย พบว่าน้ำหนักลดลง 8.8% (จากเดิมน้ำหนักเฉลี่ยของผู้ทดลองก่อนทานเพชรสังฆาต 98.92 กิโลกรัม ลดเหลือ 90.19 กิโลกรัม) ไขมันในร่างกายลด 14.6% เส้นรอบเอวลดลง 8.6% (จากเดิมเส้นรอบเอวเฉลี่ยของผู้ทดลองก่อนทานเพชรสังฆาต 40 นิ้ว ลดเหลือ 36 นิ้ว) และยังมีผลลดระดับโคเลสเตอรอล ไขมันตัวร้าย LDL และระดับน้ำตาลในเลือด ได้ 26.69%, 20.16% และ 14.85% ตามลำดับ ซึ่งผลในการลดน้ำหนักของเพชรสังฆาต มาจากการที่เพชรสังฆาตมีเส้นใย ทำให้ลดเนื้อที่ของกระเพาะอาหาร ทำให้อิ่มเร็วขึ้น และมีผลยับยั้งเอนไซม์ที่ย่อยแป้ง น้ำตาล และไขมัน (alpha amylase, glucosidase and lipase) ทำให้ลดการดูดซึมอาหาร และยังมีผลเพิ่มระดับซีโรโทนนิน ทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่ม ช่วยลดสารอักเสบ คือ C-reactive protein ที่พบในเลือดของผู้ที่มีภาวะ metabolic syndrome (กลุ่มความผิดปกติที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดซึ่งพบ ร่วมกันได้บ่อย ความผิดปกติดังกล่าวได้แก่ความผิดปกติของไขมันในเลือด ความดันโลหิต ระดับน้ำตาล) ซึ่งผลดีของเพชรสังฆาตดังกล่าว น่าจะมีประโยชน์ในการนำไปประยุกต์ใช้ในผู้ป่วยที่มีปัญหา metabolic syndrome
สำหรับสรรพคุณสุดท้ายที่หลายๆท่าน อาจทราบกันดีของเพชรสังฆาตในการรักษาริดสีดวงทวารหนัก มี งานวิจัยพบว่าประสิทธิภาพไม่ต่างกับยาทวารหนักแผนปัจจุบัน คือ Daflon แต่ราคาถูกกว่า ซึ่งผลในการรักษาริดสีดวงทวารหนัก มาจากการที่เพชรสังฆาต ช่วยลดการอักเสบ ลดอาการปวด และยังทำให้หลอดเลือดแข็งแรง จากสารฟลาโวนอยด์ที่พบในเพชรสังฆาต
ผลข้างเคียงจากเพชรสังฆาต พบว่ามีความปลอดภัย จากการศึกษาที่ผ่านมา ยังไม่มีรายงานถึงความไม่ปลอดภัย
ขนาด ยาที่แนะนำสำหรับรักษาริดสีดวงทวารหนัก คือ รับประทานครั้งละ 3 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร ทานต่อเนื่องอย่างน้อย 1 เดือน ถ้าหายแล้วก็หยุดทานได้ หรือในผู้ที่ต้องการทานเพื่อบำรุงกระดูก แนะนำให้ รับประทานครั้งละ 1-2 แคปซูลวันละ 3 มื้อ หลังอาหาร หรือหากหาต้นได้ สามารถนำมาหั่นตากแห้ง บดเป็นผง คลุกน้ำมะขามเปียก ปั้นเป็นลูกกลอน ทานครั้งละ 5 เม็ดวันละ 3 ครั้ง ถ้าเป็นเถาแห้งให้นำมา 1 กำมือ จากนั้นนำมาต้มดื่มกับน้ำ 1 ลิตร ดื่มครั้งละ 1 แก้วกาแฟ เช้า เย็น อาจแช่น้ำมะขามเปียกเพื่อลดแคลเซียมออกซาเลตก่อนนำมาต้มได้ ไม่แนะนำให้เคี้ยวสด เพราะทำให้ระคายเคืองปาก หรือใช้พอกกระดูกหัก โดยใช้เถาเพชรสังฆาตโขลกจนแหลกและเนียนพอก ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ยังไม่มีข้อมูลการใช้ จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ เพื่อความปลอดภัย
แหล่งอ้างอิง
http://examine.com/supplements/Cissus+quadrangularis/
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1570348/
http://sphinxsai.com/s_v2_n2/PT_V.2No.2/phamtech_vol2no.2_pdf/PT=51%20_1298-1310_.pdf
ผู้เขียน : ภญ.อาสาฬา เชาวน์เจริญ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร