1. ชื่อสมุนไพร หญ้าหนวดแมว
ชื่อวิทยาศาสตร์ Orthosiphon aristatus (Blume) Miq.
ชื่อวงศ์ LABIATAE
ชื่อพ้อง Orthosiphon grandiflorus Bold,
Orthosiphon stamineus Benth.
ชื่ออังกฤษ Kidney tea plant, Java tea
ชื่อท้องถิ่น บางรักป่า พยับเมฆ อีตู่ดง
2. ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ล้มลุก สูง 30-60 เซนติเมตร ลำต้นและกิ่งก้านเป็นสี่เหลี่ยม ใบเดี่ยวแตกออกเรียงตรงข้ามกัน มีรูปไข่หรือรูปข้าวหลามตัด กว้าง 2-4.5 เซนติเมตร ยาว 5-12 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อยห่างๆ โคนใบสอบ มีขอบเรียบ ก้านใบยาว 1-2 เซนติเมตร มีขน ดอกออกเป็นช่อคล้ายฉัตรที่ปลายกิ่ง ยาว 10-15 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นรูประฆัง งอเล็กน้อย กลีบดอกมีสีขาวหรือม่วง เชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นสองปาก ปากบนมี 4 กลีบ ปากล่างมี 1 กลีบ มีลักษณะโค้งเป็นรูปช้อน ผลรูปขอบขนาน แบน ยาวประมาณ 1.5 มิลลิเมตร ตามผิวมีรอยย่น
3. ส่วนที่ใช้เป็นยาและสรรพคุณ
-ส่วนใบและก้าน รักษาอาการปัสสาวะขัด
4. สารสำคัญที่ออกฤทธิ์
สารฟลาโวนอยด์ เช่น kaempferol จากหญ้าหนวดแมว สามารถยับยั้งการเพิ่มขนาดของผลึกแคลเซียมออกซาเลทในก้อนนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้
5. ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
5.1 ฤทธิ์ขับปัสสาวะ
ยาที่ประกอบด้วยสาร orthosiphonin glucoside จากหญ้าหนวดแมว และน้ำมันหอมระเหยที่มีซาโปนิน phytosterol และแทนนิน ประมาณร้อยละ 0.65 มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ โดยเพิ่มการขับออกของโซเดียมและคลอไรด์ อย่างไรก็ตามจากการศึกษาในอาสาสมัครสุขภาพดีจำนวน 40 คน โดยให้กินสารสกัดด้วยน้ำจากใบหญ้าหนวดแมว ขนาด 600 มิลลิลิตรต่อวัน วันละ 1 ครั้ง นาน 4 วัน พบว่าปริมาณปัสสาวะ การขับออกของโซเดียมและโปแตสเซียมในปัสสาวะหลังกินหญ้าหนวดแมวไม่แตกต่างกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ซึ่งการศึกษาหลังนี้ไม่สนับสนุนว่าสารสกัดด้วยน้ำจากใบหญ้าหนวดแมวมีผลขับปัสสาวะ
เมื่อทดลองป้อนทิงเจอร์ของสารสกัดจากใบด้วยเอทานอลร้อยละ 50 และร้อยละ 70 ให้หนูแรทพบว่าสารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 50 มีฤทธิ์ขับปัสสาวะและขับโซเดียมได้ดีกว่าสารสกัดด้วยเอทานอลความเข้มข้นร้อย ละ 70 แต่ขับโปแตสเซียมออกได้น้อยกว่า นอกจากนี้สารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 50 ยังมีฤทธิ์ขับกรดยูริคได้ดีมาก และพบว่าสารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 50 มีปริมาณสารสำคัญ ได้แก่ sinesetine, eupatorine, caffeic acid และ cichoric acid สูงกว่าสารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 70 แต่มีสาร rosemarinic acid น้อยกว่า
5.2 ฤทธิ์ในการรักษานิ่ว
มีการศึกษาฤทธิ์ในการรักษานิ่วในทางเดินปัสสาวะส่วนบนของหญ้าหนวดแมวเปรียบเทียบกับการรักษามาตรฐานด้วยไฮโดรคลอไรไธอาไซด์ และโซเดียมไบคาร์บอเนต พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับหญ้าหนวดแมวมีการเคลื่อนตัวของนิ่วบริเวณกระดูกกระเบนเหน็บมากกว่า และช่วยลดการใช้ยารับประทานแก้ปวดได้มากกว่ากลุ่มที่ใช้ยามาตรฐาน แต่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผู้ป่วยที่ได้รับหญ้าหนวดแมวจะมีความดันโลหิตลดลงเล็กน้อย ในขณะที่กลุ่มที่ได้ยามาตรฐานจะมีความดันโลหิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผู้ป่วยที่ได้รับหญ้าหนวดแมวจะมีชีพจรในระยะแรก (วันที่ 3 ของการทดลอง) เร็วขึ้น แต่ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของระดับโปแตสเซียมในเลือด กลุ่มที่ได้ยามาตรฐานจะมีเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะในวันที่ 30 ของการทดลองลดลง การเปลี่ยนแปลงของความถ่วงจำเพาะของปัสสาวะทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน ในขณะที่พบผลข้างเคียงในกลุ่มที่ใช้หญ้าหนวดแมวน้อยกว่ากลุ่มที่ใช้ยามาตรฐาน แต่ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
นอกจากนี้ มีรายงานผลการรักษานิ่วในไตในผู้ป่วยที่ให้กินยาต้มที่เตรียมจากใบหญ้าหนวดแมวแห้ง ความเข้มข้นร้อยละ 0.5 ขนาด 300 มิลลิลิตร ครั้งเดียว ติดต่อกันนาน
1-10 เดือน พบว่า 9 ราย มีการตอบสนองทางคลินิกที่ดี พบว่าปัสสาวะของผู้ป่วยมีแนวโน้มเป็นด่างเพิ่มขึ้น ซึ่งชี้แนะว่าน่าจะช่วยลดการเกิดนิ่วจากกรดยูริคได้
6. อาการข้างเคียง
ยังไม่มีรายงาน
7. ความเป็นพิษทั่วไป
7.1 การทดสอบความเป็นพิษ
เมื่อฉีดสารสกัดด้วยน้ำร้อนจากใบและลำต้นเข้าช่องท้องหนูแรทเพศผู้และเพศเมีย หนูเม้าส์เพศผู้และเพศเมีย พบความเป็นพิษปานกลาง เมื่อป้อนสารสกัดเดียวดันนี้ให้กับหนูแรททั้งสองเพศทุกวันติดต่อกัน 30 วัน ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว ค่าการตรวจทางชีวเคมีในเลือด และพยาธิสภาพของอวัยวะสำคัญเมื่อดูด้วยตาเปล่า และเมื่อศึกษาความเป็นพิษในระยะยาวนาน 6 เดือน โดยการป้อนหนูแรทด้วยยาชงด้วยน้ำร้อน ซึ่งมีความแรงเทียบเท่ากับ 11.25, 112.5 และ 225 เท่าของขนาดที่ใช้ในผู้ป่วยโรคนิ่วในท่อไต ไม่พบความแตกต่างของการเจริญเติบโต การกินอาหาร ลักษณะภายนอกหรือพฤติกรรมที่ผิดปกติและค่าการตรวจทางชีวเคมีในเลือดเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ยกเว้นจำนวนเกร็ดเลือดจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อใช้ยาในขนาด 18 กรัม/กิโลกรัม/วัน พบว่าระดับโซเดียมในเลือดในกลุ่มทดลองทุกกลุ่ม โปแตสเซียมในหนูเพศเมีย และคอเลสเตอรอลในหนูเพศผู้ จะมีระดับต่ำกว่ากลุ่มควบคุม นอก จากนี้ เมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดจากหญ้าหนวดแมว ติดต่อกันนาน 6 เดือน เปรียบเทียบกลุ่มควบคุม พบว่า หนูทุกกลุ่มมีการเจริญเติบโตและกินอาหารได้ใกล้เคียงกัน ไม่พบความผิดปกติในระบบโลหิตวิทยาและความผิดปกติของอวัยวะภายใน ส่วนการตรวจผลทางชีวเคมีพบว่าหนูที่ได้รับสารสกัดทุกขนาดมีระดับโซเดียมต่ำ กว่ากลุ่มควบคุม แต่ระดับโปแตสเซียมมีแนวโน้มสูงขึ้น ในหนูเพศผู้ที่ได้รับสารสกัด 0.96 กรัม/กิโลกรัม/วัน จะมีน้ำหนักโดยเฉลี่ยของตับและม้ามมากกว่ากลุ่มควบคุม อย่างไรก็ตามการตรวจทางจุลพยาธิสภาพไม่พบความผิดปกติที่เซลล์ตับและอวัยวะ อื่นๆ ยกเว้นการโป่งพองของกรวยไตในหนูขาวที่ได้รับสารสกัด 4.8 กรัม/กิโลกรัม/วัน ที่มีจำนวนเพิ่มมากกว่ากลุ่มควบคุม กล่าวโดยสรุปสารสกัดหญ้าหนวดแมวมีพิษน้อย แต่ต้องคอยติดตามวัดระดับโซเดียมและโปแตสเซียมหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
8. วิธีการใช้
8.1 การใช้หญ้าหนวดแมวรักษาอาการปัสสาวะขัดตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขมูลฐาน)
ก นำใบและกิ่งแห้ง 4 กรัม มาชงด้วยน้ำร้อน 750 มิลลิลิตร ดื่มน้ำชงต่างน้ำ ติดต่อกันนาน 1-6 เดือน
ข ใช้ใบและก้านสด 90-120 กรัม (แห้ง 40-50 กรัม) ต้มกับน้ำ ดื่มน้ำต้มที่ได้ครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร
8.2 ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ
ไม่มี
ขอบคุณข้อมูล :
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล