ยาหม่องคงคาบาล์ม สมุนไพรคงคา
ยาหม่องคงคา ยาหม่องหมอเอี้ยง ยาสามัญประจำบ้าน
ยาใช้ภายนอก ห้ามรับประทาน เลขทะเบียนยาที่ G 385/49
เอกสารกำกับยา:
ในตัวยา 2,000 กรัม มีส่วนประกอบทำมาจากตัวยาดังนี้
ไพลสด 15,000 กรัม
เกล็ดสะระแหน่ 160 กรัม
พิมเสน 80 กรัม
การบูร 60 กรัม
และตัวยาอื่นๆ
สรรพคุณ:
ใช้บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
วิธีใช้:
ทาถูนวด บริเวณที่ต้องการ ระวังอย่าให้เข้าตา
การเก็บรักษา:
ไม่ควรถูกความร้อนและแสงแดด
ขนาด:
50 กรัม
--------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลเพิ่มเติมยาหม่องคงคาบาล์ม (Kongka Balm)
ข้อมูลและสรรพคุณสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบหลักของยาหม่องคงคาบาล์ม
ไพลสด (Phlai, Cassumunar):
ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Zingiber cassumunar Roxb. สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา ได้แก่ เหง้า ใช้แก้บิดขับฟอกโลหิต แก้ปวดท้อง แก้ท้องผูก แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้จุกเสียด บีบมดลูก แก้ปวดบวม, น้ำมันไพล คือน้ำมันหอมระเหย (Essential oil) 80% มีสารที่ให้สีเหลืองชื่อ Curcumin สกัดจากเหง้าไพล ได้รับการพิสูจน์ผลทางยาแก้ปวดบวม มีฤทธิ์ลดการอักเสบ รักษาอาการปวดเมื่อย ฟกช้ำ วิจัยโดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล (1-2)
ข้อควรระวัง ห้ามใช้ครีมไพลทาบริเวณขอบตา และเนื้อเยื่อ
เสลดพังพอน (Philippine violet):
ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Climacanthus nutans (Burm.f.) Lindau ส่วนที่ใช้ คือใบเสลดพังพอนตัวเมีย เนื่องจากเสลดพังพอนตัวผู้มีฤทธิ์อ่อนกว่าเสลดพังพอนตัวเมีย มีสรรพคุณในการบรรเทาอาการอักเสบเฉพาะที่ ถอนพิษแมลงกัดต่อย แก้ปวดฟัน รักษาเม็ดผื่นคันตามผิวหนัง แก้ปวดแผล ฟกช้ำ แก้โรคฝีต่างๆ รักษาโรคคางทูม แก้ริดสีดวงทวาร สารสกัดของใบมีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเริม และงูสวัด (3)
พิมเสน (Patchouli):
ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Pogostemon cablin (Blanco) Benth. ส่วนที่ใช้: ใบ สรรพคุณ คือ ปรุงเป็นยาเย็น ถอนพิษร้อน แก้ไข้ ทุกชนิด แก้พุพอง ลดอาการแน่นจมูกจากหวัด ทำให้ความร้อนในร่างกายลดลง บรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ เมารถ เมาเรือ บรรเทาอาการบวมจาก แมลงกัดต่อย แก้ปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก ใช้ปรุงเป็นยาเขียว ถอนพิษไข้ เป็นยาขับเหงื่อ กระตุ้นการหายใจ กระตุ้นสมอง บำรุงหัวใจ แก้โรคผิวหนัง น้ำมันที่ได้จากใบอ่อนแห้ง มีสีเหลืองจนถึงสีน้ำตาล ใช้รักษาเพื่อลดความเครียด คลายความกังวล ไล่และฆ่าแมลงได้ ใช้ดับกลิ่น ช่วยในการลดเซลลูไลท์ ช่วยผลัดเซลล์ผิวใหม่ สมานแผลให้หายเร็วขึ้น และลดรอยแผลเป็นเมื่อแผลแห้ง ยังสามารถใช้แต้มรักษาสิวได้ (4)
เกล็ดสะระแหน่ (Kitchen Mint, Marsh Mint):
ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Metha cordifolia Opiz. ในสะระแหน่มีน้ำมันหอมระเหย ประกอบด้วย สารเมนทอล, มีเบต้าแคโรทีน, วิตามินซี และแคลเซียม สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา ได้แก่ ใบและลำต้น เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ ขับลม ขับเหงื่อ รักษาอาการหวัดได้ และยังสามารถแก้อาการ ปวดท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้พิษแมลงกัดต่อย แก้อาการเกร็งกล้ามเนื้อ แก้ปวดบวมผื่นคัน ใช้สูดดม แก้หวัดคัดจมูก หายใจไม่คล่อง (5-6)
การบูร (Camphor Tree):
ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Cinnamomum camphora (L.) J.S. Presl. ส่วนที่ใช้ คือ เปลือกและราก ประโยชน์ คือ เมื่อนำส่วนต่างๆ ของการบูรมากลั่นจะได้น้ำมันระเหย ซึ่งประกอบด้วยสารต่างๆ เช่น camphor, safrol, cineole, pinene, camphene, phellandrene และ limonene สำหรับ camphor จะเป็นผลึกแยกออกมาเรียกว่า การบูร ใช้เป็นยาระงับเชื้ออย่างอ่อน ยากระตุ้นหัวใจ ขับลม ขับเสมหะ ขับปัสสาวะ ทำยาทาถูนวดแก้ปวดตามข้อ แก้เคล็ดขัดยอก แก้บวม แก้ปวดเส้นประสาท ลดรอยแผลเป็น แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย บำรุงธาตุ ขับลมในลำไส้ แก้ไอ ขับเหงื่อ แก้ปวดฟัน (7)
เอกสารอ้างอิง
1."สมุนไพรในงานสาธารณสุขมูลฐาน สำหรับบุคลากรสาธารณสุข". โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพมหานครฯ. 2533. หน้า 108 - 109.
2. บัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (บัญชียาจากสมุนไพร๗). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด, 2543. หน้า 38-45.
3. คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2548. พิพิธภัณฑ์สมุนไพร. สืบค้นจาก http://www.pharm.chula.ac.th/physiopharm/2548_sem2/group5.html
4. สุนทรี สิงหบุตรา. เภสัชกรด้านเภสัชสาธารณสุข. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด. 2553. สืบค้นจาก http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herb1.htm.
5. อังค์วรา. อาหารต้านโรค. กรุงเทพฯ : ไพลินสีน้ำเงิน, 2542. สืบค้นจาก www.walai.msu.ac.th, www.praphansarn.com และ www.mindcyber.com
6. คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี. สมุนไพรใกล้ตัว : สะระแหน่. 2553. สืบค้นจาก http://ramaclinic.ra.mahidol.ac.th/herb/herb0021.html.
7. ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม. พจนานุกรม สมุนไพรไทย.2553. สืบค้นจาก http://www.samunpri.com/herbs.
เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจทางด้านสุขภาพแก่ผู้อ่านเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงหรือใช้แทนการวินิจฉัยในการรักษาของแพทย์แก่ผู้ป่วยได้