1. ชื่อสมุนไพร ฟักทอง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cucurbita moschata Decne.
ชื่อวงศ์ CUCURBITACEAE
ชื่อพ้อง Cucurbita maxima Duch.
ชื่ออังกฤษ Pumpkin, Field pumkin, Field pumpkin, Cushaw, Butternut squash, Winter squash, Squash
ชื่อท้องถิ่น น้ำเต้า, ฟักเขียว, มะน้ำแก้ว, มะฟักแก้ว, หมักคี้ส่า, หมักอื้อ, เหลือเคส่า, หมากฟักเหลือง
2. ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้เลื้อยล้มลุก อายุปีเดียว ใบเดี่ยวออกเรียงสลับ เป็นรูปไข่กว้างหรือรูปไตแกมรูปโล่ กว้าง 10-35 เซนติเมตร ยาว 7-35 เซนติเมตร ขอบใบหยักเว้าเป็น 5-7 แฉก ผิวใบด้านล่างมีขนสีขาว ดอกเดี่ยวออกที่ซอกใบ แยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูประฆังสีเหลือง หรือสีเหลืองแกมส้ม ผลสดรูปกลมแป้น เนื้อในสีเหลืองหรือส้ม เมล็ดรูปไข่สีขาวหม่นหรือเหลืองอ่อน
3. ส่วนที่ใช้เป็นยาและสรรพคุณ
- เมล็ด รักษาโรคพยาธิตัวตืด
4. สารสำคัญที่เชื่อว่าเป็นสารออกฤทธิ์ หรือสารที่ใช้ประเมินคุณภาพของสมุนไพร
Cucurbitine (3-Amino-3 carboxylprrolidnine) ในเมล็ดฟักทอง (C. maxima Duchesne) มีฤทธิ์ขับพยาธิ นอกจากนี้ในเมล็ดฟักทองยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโอเมก้า-3 และ โอเมก้า-6 สูง ได้แก่ linoleic acid, oleic acid, palmitic acid และ stearic acid มีฤทธิ์ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือดและปกป้องตับ
5. ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
5.1 ฤทธิ์ขับพยาธิ
ให้ผู้ป่วยโรคพยาธิใบไม้ Schistosoma รับประทานเมล็ดฟักทอง 80 กรัม พบว่าสามารถฆ่าพยาธิได้ทันที เมื่อนำสารสกัดจากเมล็ดฟักทองมาแยกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ละลายได้ทั้งในแอลกอฮอลและอะซีโตน กับส่วนที่ละลายได้เฉพาะในแอลกอฮอล พบว่าทั้งสองส่วนมีฤทธิ์ขับพยาธิตืดวัว (Taenia saginata) ในคน ขับพยาธิตืดแคระ (Hymenolepsis nana) ในสัตว์ทดลอง และฆ่าพยาธิใบไม้(Dicrocoelium dendriticum) ในหลอดทดลองได้ เมื่อป้อนสารสกัดจากเมล็ดฟักทองด้วยเมทานอล 80% ขนาด 5 กรัม/กิโลกรัม (เทียบกับเมล็ดสด) ให้กับหนูเม้าส์ พบว่ามีฤทธิ์ขับพยาธิ H. nana นอกจากนี้สารสกัดด้วยน้ำ อีเธอร์ และแอลกอฮอลจากเมล็ดฟักทองก็มีฤทธิ์ขับพยาธิเช่นเดียวกัน
5.2 ฤทธิ์ปกป้องตับ
สารสกัดเมล็ดฟักทองในน้ำมีฤทธิ์ปกป้องตับที่ถูกทำลายด้วยคาร์บอนเตตร้าคลอไรด์, D-galactosamine (D-GalN) หรือ lipopolysaccharide (LPS) ในสัตว์ทดลองได้ เมื่อให้เอทานอลพร้อมกับตำรับสมุนไพรที่มีฟักทองเป็นส่วนผสมแก่สัตว์ทดลอง พบว่าช่วยลดพิษของแอลกอฮอลที่มีต่อตับได้ การให้สัตว์ทดลองกินอาหารที่มีเมล็ดฟักทองพันธุ์Cucurbita pepo L. spp pepo ผสมกับเมล็ดเฟล็กซ์พบว่า ทำให้กรดไขมันอิ่มตัวในเลือดและในตับลดลง ในขณะที่กรดไขมันไม่อิ่มตัวเพิ่มขึ้น อนุมูลอิสระลดลง กลไกการต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น และช่วยปกป้องหลอดเลือดและตับ โปรตีนที่แยกจากเมล็ดฟักทองพันธุ์Cucurbita pepo สามารถใช้ทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ และช่วยปกป้องตับจากพิษของคาร์บอนเตตร้าคลอไรด์ และยาพาราเซตามอลในสัตว์ทดลองได้
5.3 ฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพ
น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดฟักทองพันธุ์Cucurbita pepo มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย Klebsiella pneumoniae, Acinetobacter baumannii, รา Candida albicans และ Parainfluenza virus type-3 สารสกัดผลฟักทองด้วยเอทานอลออกฤทธิ์ต้านแบคทีเรียชนิดแกรมบวก Bacillus subtilis ได้ดี ในขณะที่โพลีแซคคาไรด์ซึ่งสกัดจากเปลือกฟักทองส่วนที่ไม่ละลายในเอทานอล จะมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของ Escherichia coli และ Clostridium perfingens แต่กระตุ้นการเจริญเติบโตของ Lactobacillus brevis, Bifidobacterium bifidum และ Bifidobacterium longum
5.3 ฤทธิ์อื่นๆ
โพลีแซคคาไรด์จากฟักทองมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลองที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวานด้วย strepzotocin ในขณะที่สารแพคตินมีฤทธิ์ยับยั้งการขนส่งน้ำตาล (14) โพลีแซคคาไรด์หรือแพคตินจากส่วนของเปลือกฟักทองที่ละลายในน้ำ และละลายในด่างมีผลยับยั้งการขนส่งน้ำดี
6. อาการข้างเคียง
ผู้ที่กินผลฟักทองปริมาณมากเป็นอาหารหลักทุกวันอย่างต่อเนื่อง อาจมีอาการตัวเหลือง เนื่องจากผลฟักทองมีสารเบต้าแคโรทีนในปริมาณมาก เบต้าแคโรทีนเป็นสารตั้งต้นที่ร่างกายนำไปสร้างเป็นวิตามินเอ ดังนั้น การกินอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนมากเกิน (aurantiasis cutis) อาจจะทำให้มีความเสี่ยงต่อการได้รับวิตะมินเอมากเกินขนาดตามไปด้วย บางรายอาจพบตับทำงานผิดปกติได้
7. ความเป็นพิษทั่วไป
7.1 การทดสอบความเป็นพิษ
ในสัตว์ที่ให้กินเมล็ดฟักทองปั่นกับน้ำ (10 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร) ขนาด 1 มิลลิลิตร/กิโลกรัม ติดต่อกันนาน 30 วัน ไม่พบว่ามีพิษต่อหนูแรทและลูกหมู แต่พบความเป็นพิษเมื่อฉีดสารสกัดจากส่วนเหนือดินด้วย 50% แอลกอฮอลเข้าช่องท้องของหนูเม้าส์ นอกจากนี้ยังพบว่า สารสกัดจากใบ สารสกัดจากผลฟักทองด้วยเอทานอล แล้วสกัดต่อด้วยเฮกเซน และสารสกัดจากดอกด้วยเอทานอลแล้วสกัดต่อด้วยเอทิลอะซีเตท มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ในขณะที่สารสกัดจากใบฟักทองด้วยแอลกอฮอล์มีพิษเล็กน้อยเมื่อฉีดเข้าช่องท้องหนูเม้าส์
8. วิธีการใช้
8.1 การใชเมล็ดฟักทองรักษาโรคพยาธิตัวตืดตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขมูลฐาน)
ใช้เมล็ดฟักทองประมาณ 60 กรัม ทุบให้แตก นำมาผสมกับน้ำตาลและนม หรือน้ำที่เติมลงไปจนได้ปริมาณ 500 มิลลิลิตร แบ่งกิน 3 ครั้ง ห่างกันทุก 2 ชั่วโมง หลังให้ยาแล้ว 2 ชั่วโมง รับประทานน้ำมันละหุ่งระบายตามเพื่อขับพยาธิที่ตายออก
8.2 ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ
ไม่มี
ขอบคุณข้อมูล :
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล