1. ชื่อสมุนไพร ทับทิม
ชื่อวิทยาศาสตร์ Punica granatum Linn.
ชื่อวงศ์ PUNICACEAE
ชื่อพ้อง ไม่มี
ชื่ออังกฤษ Pomegranate
ชื่อท้องถิ่น เซี๊ยะลิ้ว, พิลา, พิลาขาว, มะก่องแก้ว, มะเก๊าะ, หมากจัง
2. ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้พุ่ม ปลายกิ่งอ่อนโค้งเล็กและมักมีหนามแหลม ใบเดี่ยว ออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน รูปรีแกมขอบขนาน โคนใบสอบแคบ ปลายใบกว้าง เนื้อใบบางและเป็นมัน ดอกเดี่ยวหรือช่อ ออกตามปลายกิ่ง กลีบดอกสีส้มแดง ร่วงง่าย กลีบรองดอกหนาแข็ง สีส้มแกมเหลือง โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายหลอดจักเป็นฟันเลื่อยและโค้งออก กลีบดอกจำนวนเท่าๆ กับกลีบรอง ผลกลมโต ผิวนอกแข็งเป็นมัน สีเขียวอมเหลือง สีแดงอมน้ำตาล หรือสีทับทิม เมื่อแก่จะแตกอ้าออก เมล็ดมีเนื้อเยื่อใสสีขาวอมชมพูหรือสีแดงหุ้มอยู่
3. ส่วนที่ใช้เป็นยาและสรรพคุณ
- เปลือก รักษาอาการท้องเสีย
4. สารสำคัญที่เป็นสารออกฤทธิ์
เปลือกผลทับทิมมี tannin มีฤทธิ์ฝาดสมานใช้แก้ท้องเสีย และมี ellagic acid, gallagic acid, punicalins และ punicalagins ซึ่งมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย และต้านอนุมูลอิสระ
5. ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
5.1 ฤทธิ์รักษาอาการอุจจาระร่วง
ตำรับยาที่มีเปลือกผลทับทิมเป็นส่วนประกอบ สามารถรักษาอาการท้องเสียในเด็กและทารก 305 คน โดยอาการหายไปภายใน 1-3 วัน จำนวน 281 คน และมีอาการดีขึ้น 9 คน สารสกัดเปลือกผลทับทิมโดยการต้มกับน้ำ แล้วสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 95 หรือ เอทานอลร้อยละ 50 มีฤทธิ์ลดความถี่ของการถ่ายอุจจาระ และยับยั้งการหลั่งสารของลำไส้ในหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้อุจจาระร่วงด้วยน้ำมันละหุ่ง, แมกนีเซียมซัลเฟต, เซนโนไซด์ บี และ misoprostol สารสกัดเปลือกทับทิมยังมีฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อนไหวของลำไส้เล็ก และลดการบีบตัวของลำไส้ซึ่งถูกชักนำโดย acetylcholine ตำรับ ยาที่มีสารสกัดจากเปลือกผลทับทิมเป็นส่วนประกอบมีฤทธิ์รักษาอาการอุจจาระ ร่วงในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้อุจจาระร่วงด้วยน้ำมันละหุ่ง โดยยืดระยะเวลาจากการเริ่มถ่ายครั้งแรกและลดการถ่ายเหลว นอกจากนี้ยังมีผลยับยั้งการเคลื่อนตัวของลำไส้ด้วย กลไกในการยับยั้งอาการท้องเสียของเปลือกผลทับทิม อาจเกิดจากการเพิ่มการดูดซึมของน้ำในลำไส้หรือลดการขับน้ำออกสู่ลำไส้ และลดการบีบตัวของลำไส้ในสัตว์ทดลอง นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดด้วยเมทานอลจากเมล็ดสามารถรักษาอาการอุจจาระร่วง ในหนูแรทได้ โดยลดความถี่ของการถ่าย ยับยั้งการเคลื่อนไหวของลำไส้ และยับยั้ง prostaglandin E2 (PGE2) ทำให้ไม่ถ่ายเหลว
5.2 ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย
น้ำทับทิมสามารถป้องกันการทำลายเนื้อเยื่อในลำไส้เล็ก และลดการถ่ายเหลวเนื่องจากเชื้อแบคทีเรีย Aeromonas hydrophila ได้ในหนูเม้าส์ สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียก่อโรคอาหารเป็นพิษคือ Listeria monocytogenes และสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายคือ Bifidobacterium breveและ B. infantis ซึ่งช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และช่วยระบบขับถ่าย
สารสกัดจากเปลือกผลทับทิมมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในทางเดินอาหาร อาหารเป็นพิษ และอุจจาระร่วงได้แก่ เชื้อแบคทีเรียในตระกูล Aeromonas, Escherichia, Vibrio, Salmonella, Shigella, Staphylococcus, Bacillus และ Proteus เช่น Escherichia coli, Vibrio cholerae, Vibrio parahaemolyticus,Salmonella typhi, Salmonella paratyphi, Salmonella typhosa, Salmonella enterica, Shigella sonnei, Shigella dysenteriae,Shigella flexeneri, Shigella boydii,Staphylococcus aureus, Bacillus cereus, Bacillus subtilis, Proteus mirabilis, Proteus vulgalis และS. iondons และเชื้อก่อโรคอาหารเป็นพิษอื่นๆ คือ Listeria monocytogenes นอกจากนี้ยังมีผลต่อเชื้อคือ P. aeruginosa สบู่เหลวที่เตรียมจากสารสกัดเปลือกทับทิมสามารถต้านเชื้อ S. aureus, E. coli, B. cereus, S. typhi และ Sh. flexneri โดยพบว่าจุลินทรีย์บนมือของอาสาสมัครลดลงภายหลังจากฟอกด้วยสบู่เหลวชนิดนี้ สารสกัดจากเปลือกผลทับทิมยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวและผิวหนังอักเสบได้แก่Propionibacterium acnes, S. aureus และS. epidermidis
สารจากผลทับทิมสามารถต้านเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ ผิวหนังอักเสบ ปอดบวม ได้แก่ E.coli, S. typhi, S. albus, S. aureus, B. subtilis, B. cereus, B. coagulans,S. gallinarum,P. aeruginosa, P. mirabilis,P. vugaris และ Aeromonas sobria และสารสกัดด้วยเมทานอลจากผลสามารถยับยั้งการสร้างสาร enterotoxin A ของแบคทีเรียได้ สารสกัดด้วยเอทานอลและน้ำจากผลทับทิมสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียจากคราบหินปูนบนฟัน สารสกัดจากส่วนเหนือดิน ลำต้น เปลือกต้น และใบของทับทิมมีฤทธิ์ต้านเชื้อก่อโรคอาหารเป็นพิษหลายชนิดได้แก่ เชื้อ S. aureus, S. albus, S. epidermidis, B. cereus , P. mirabilis, Salmonella B, S. paratyphi A,S. typhosa, S. newport, V. parahaemolyticus,E. coli, P. vulgaris, Sh. dysenteriae, Sh. flexneri, Sh. flexneri 3A และ Yersinia enterolitica นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อที่ทำให้เกิดปอดบวม ได้แก่Klebsiella pneumoniaeและ P. aeruginosa และมีฤทธิ์ต้านโรคแอนแทรกซ์ (Bacillus anthracis) สารสกัดทับทิมไม่ระบุส่วน มีฤทธิ์ต้านเชื้อ B. cereus,S. aureus,E. coli และ K. pneumoniae
สารที่แยกได้จากใบทับทิม คือ gallic acid และ luteolin มีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรีย S. aureus, S. typhimurium, V. parahaemolyticus, E. coli, Sh. flexneri และ B. cereus สารที่แยกได้จากน้ำทับทิมและผลทับทิม ได้แก่ ellagic acid, gallagic acid, punicalins และ punicalagins มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและราได้แก่ E. coli, P. aeruginosa, Candida albicans, Cryptococcus neoformans, S. aureus, Aspergillus fumigatus และ Mycobacterium intracellulare นอกจากนี้สาร gallagic acid และ punicalagins ยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อมาเลเรีย (Plasmodium falciparum) สารผสมระหว่าง ellagitannins จากทับทิมกับ naphthoquinones มีฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus ทั้งสายพันธุ์ที่ไวต่อยาและดื้อยา methicillin
สาร pelargonidin-3-galactose, cyaniding-3-glucose, gallic acid, quercetin และ myricetin มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในกลุ่ม Corynebacterium, Staphylococci, Streptococci, B. subtilis, Shigella, Salmonella, V. cholerae และ E. coli เจลที่เตรียมจากสารสกัดทับทิมมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียสายพันธุ์ก่อโรค เช่น Streptococcus mutans, S. sanguis, S. mitis และ C. albicans ได้ดีกว่ายา miconazole และให้ผลดีในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อราในปากเมื่อใช้วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 15 วัน
5.3 ฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส
Punicalagin และฟลาโวนอยด์จากทับทิมมีฤทธิ์ต้านไวรัสโรคหวัด โดยสามารถยับยั้งไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ฮ่องกงในคน (H3N2) ในหลอดทดลอง นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าสารสกัดทับทิมสามารถฆ่าเชื้อไวรัสเอดส์ได้ด้วย
5.4 ฤทธิ์ต้านการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ
สารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 50 จากเปลือกผลทับทิมมีผลยับยั้งการเกร็งตัวของลำไส้เล็กส่วนปลายของหนูตะเภาที่ถูกเหนี่ยวนำให้หดเกร็งด้วย acetylcholine, BaCl2 และกระแสไฟฟ้า ในขณะที่สารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 50 จากส่วนเหนือดินไม่มีฤทธิ์ยับยั้งการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อลำไส้เล็กในหนูตะเภา
5.5 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
อาหารเสริมที่เตรียมจากสารสกัดทับทิมที่มีสารโพลีฟีนอล ellagitannin ในปริมาณสูง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระทำให้อนุมูลอิสระในพลาสมาลดลงเมื่อให้อาสาสมัครกินสารสกัดทับทิมวันละ 1 กรัม ในคนปกติน้ำทับทิมและผลทับทิมสดจะช่วยเพิ่มความสามารถของสารต้านอนุมูลอิสระในพลาสมา
สารสกัดโพลีฟินอลจากเปลือกทับทิมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ hydroxyl และการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของไขมันของเซลล์ตับหนู สารสกัดด้วยเมทานอลจากเปลือกทับทิมและน้ำทับทิมช่วยเพิ่มการทำงานของเอ็นไซม์ต้านอนุมูลอิสระได้แก่ catalase, superoxide dismutase, glutathione peroxidase, glutathione-S-transferase และ glutathione reductase ในหนูทดลอง สารสกัดจากใบ ดอก ผล เมล็ดทับทิมและสารที่แยกได้จากน้ำทับทิมได้แก่ ellagic acid, gallagic acid, punicalins และ punicalagins มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และ ellagic acid ยังมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดออกซิเดชันของไขมัน
5.6 ฤทธิ์ต้านการอักเสบ
สารสกัดด้วยเมทานอลและน้ำจากผลทับทิม กรดไขมันจากเมล็ดทับทิม punicic acid และสารที่แยกได้จากทับทิมได้แก่ punicalagin, punicalin, strictinin A และ granatin B มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยพบว่ามีกลไกการออกฤทธิ์หลายแบบได้แก่ ยับยั้งการสร้างสารที่ทำให้เกิดการอักเสบได้แก่ไนตริกออกไซด์ PGE2 และ TNF-a และกดการทำงานของเอ็นไซม์ที่กระตุ้นการสังเคราะห์สารที่ทำให้เกิดการอักเสบ คือ COX-2 นอกจากนี้สารสกัดเปลือกผลทับทิมที่มี ellagic acid ร้อยละ 13 ก็สามารถยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ได้
5.7 ฤทธิ์ต้านการแพ้
การทดสอบฤทธิ์ต้านการแพ้ของสารสกัดจากเปลือกผลทับทิมที่มี ellagic acid ร้อยละ 13 พบว่าสามารถยับยั้งการปล่อย β-hexosaminidase ซึ่งเป็นเอ็นไซม์ที่กระตุ้นให้เกิดการแพ้เมื่อทำการทดสอบในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวของหนูแรท (RBL-2H3)
5.8 ฤทธิ์ปกป้องตับ
สาร ellagic acid มีฤทธิ์ปกป้องตับจากพิษของคาร์บอนเตตร้าคลอไรด์ อัลฟลาทอกซิน อัลกอฮอล์ และN-2-fluronenylacetamide ในสัตว์ทดลอง และพบว่าดอกทับทิมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและปกป้องตับจากพิษของ ferric nitrilotriacetate
5.9 ฤทธิ์ลดไขมันในเลือด
น้ำทับทิมมีฤทธิ์ลดคอเลสเตอรอลในเลือดของผู้ป่วยไขมันในเลือดสูง ลดระดับการเกิดออกซิเดชันของไขมัน และช่วยเพิ่มปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในเลือด สารสกัดจากดอกและเปลือกทับทิม และ ellagic acid ช่วยลดคอเลสเตอรอล, LDL, VLDL, ไตรกลีเซอไรด์ และช่วยเพิ่ม HDL
5.10 ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด
มีรายงานว่าดอก เมล็ด น้ำทับทิม สารสกัดจากเปลือกทับทิม และสารสำคัญจากทับทิม ได้แก่ polyphenols, oleanolic acid, ursolic acid และ gallic acid มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด โดยเกี่ยวข้องกับการกระตุ้น (peroxisome proliferator-activated receptor gamma (PPAR-γ) ยับยั้งการดูดซึมและการสร้างกลูโคส ยับยั้งเอ็นไซม์กลูโคซิเดส และกระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากเซลล์ตับอ่อน
5.11 ฤทธิ์ป้องกันต้อกระจก
สาร ellagic acid ฉีดเข้าช่องท้องช่วยป้องกันการเกิดต้อกระจกในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำด้วย selenite โดยผ่านกลไกการต้านอนุมูลอิสระ และยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของไขมัน
5.12 ฤทธิ์ปกป้องผิว
น้ำมันจากเมล็ดและสารสกัดจากเปลือกผลทับทิมมีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวหนัง โดยกระตุ้นการสร้างและยับยั้งการทำลายคอลลาเจน และพบว่าสารสกัดทับทิมที่มี ellagic acid ร้อยละ 90 จะช่วยยับยั้งไม่ให้ผิวคล้ำเนื่องจากรังสีอุลตราไวโอเลตในหนูได้ และป้องกันการทำลายผิวจากรังสีอุลตราไวโอเลตชนิด เอ
5.13 ฤทธิ์ต้านมะเร็ง
สาร ellagic acid ที่พบในทับทิมมีฤทธิ์ต้านมะเร็งในเนื้อเยื่อหลายชนิด เช่น ลำไส้ ทางเดินอาหาร ตับ ปอด ลิ้น และผิวหนัง โดยมีฤทธิ์กระตุ้นการเกิดกระบวนการตายของเซลล์มะเร็ง (apoptosis) บางชนิด มีฤทธิ์ต้านสารก่อมะเร็ง เช่น nitrosamines, azoxymethane, mycotoxins และ polycyclic aromatic hydrocarbons และพบว่าฤทธิ์ต้านมะเร็งจะดีขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับquercetin
6. อาการข้างเคียง
ไม่มีรายงาน
7. ความเป็นพิษทั่วไปและต่อระบบสืบพันธุ์
7.1 การทดสอบความเป็นพิษ
สารสกัดจากทับทิม และน้ำทับทิม ไม่พบว่าเป็นพิษเมื่อให้ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดตีบรับประทานติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปี ในการทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันพบว่าสารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 50 จากส่วนเหนือดิน สารสกัดด้วยน้ำ สารสกัดด้วยอัลกอฮอล์จากราก และสารสกัดด้วยอัลกอฮอล์จากผล มีความเป็นพิษปานกลางถึงมาก เมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 50 จากดอก ไม่เป็นพิษต่อหนูเม้าส์เมื่อให้โดยการฉีดเข้าช่องท้องขนาด 1 กรัม/กิโลกรัม ในขณะที่สารสกัดผลทับทิมที่มี punicalagin ซึ่งเป็น ellagitannin ร้อยละ 30 มีความเป็นพิษเล็กน้อยเมื่อให้หนูแรททางปาก แต่มีความเป็นพิษมากเมื่อฉีดเข้าช่องท้อง
จากการทดสอบความเป็นพิษกึ่งเรื้อรังของสารสกัดดังกล่าว ไม่พบความเป็นพิษต่อหนูแรทเมื่อป้อนสารสกัดขนาด 600 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน เป็นเวลา 90 วัน และไม่พบความเป็นพิษเมื่อให้หนูแรทกินอาหารที่มีสาร punicalagin ผสมอยู่ร้อยละ 6 เป็นเวลา 37 วัน เพียงแต่ทำให้ความอยากอาหารลดลง กรดแทนนิกและสาร pelletierine มีความเป็นพิษเมื่อให้กระต่ายทางปากในขนาด 1 กรัม/กิโลกรัม เป็นเวลา 40 วัน สารสกัดเปลือกทับทิมด้วยน้ำสามารถทำให้นกกระจอกตัวผู้ตายเมื่อให้ในขนาด 0.4 มิลลิลิตร/วัน
7.2 ความเป็นพิษต่อตับ
สารสกัดจากเปลือกผลส่วนที่มี gallotannin ความเข้มข้นร้อยละ 0.5 เมื่อฉีดเข้าช่องท้องหนูเม้าส์วันละ 20 มิลลิลิตร/กิโลกรัม เป็นเวลา 2 วัน พบว่าตับถูกทำลายอย่างรุนแรง
7.3 พิษต่อระบบสืบพันธุ์
เปลือกผลทับทิมมีฤทธิ์คุมกำเนิดเมื่อให้หนูทั้ง 2 เพศกินในขนาด 18 กรัม/กิโลกรัม โดยผสมในอาหาร สารสกัดด้วยน้ำร้อนไม่ระบุส่วนและขนาดที่ให้มีฤทธิ์คุมกำเนิดเมื่อทดสอบในหนูแรทเพศเมีย สารสกัดด้วยน้ำและเอทานอลขนาด 1.82 กรัม/กิโลกรัม เมื่อให้ทางกระเพาะอาหารแก่หนูแรท พบว่ามีผลยับยั้งการฝังตัวของตัวอ่อนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สารสกัดด้วยเอทานอลจากผล และราก เมื่อให้หนูแรทกินในขนาด 200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบว่าไม่ทำให้แท้ง สารสกัดด้วยเอทานอลจากผล สารสกัดด้วยอะซีโตน สารสกัดด้วยเมทานอล สารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 50 จากทั้งต้น ให้ในขนาด 200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และสารสกัดด้วยอะซีโตน สารสกัดด้วยน้ำร้อน สารสกัดด้วยเมทานอลจากราก ในขนาด 150 มิลลิกรัม/กิโลกรัมไม่พบความเป็นพิษต่อตัวอ่อนของหนูแรท ในขณะที่เมื่อฉีดสารสกัดจากผลไม่ระบุขนาดเข้าช่องท้องหนูแรทเพศเมีย และให้หนูกินสารสกัดด้วยเอทานอล ขนาด 200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม หรือให้สารสกัดด้วยบิวทานอล สารสกัดน้ำจากผล ขนาด 1.82 กรัม/กิโลกรัม ทางกระเพาะอาหารแก่หนูแรทพบว่าไม่มีผล
7.4 ทำให้แพ้
มีรายงานการแพ้ในคนที่รับประทานผลสดของทับทิม โดยจะเกิดผื่นลมพิษ การบวมที่ลิ้น ริมฝีปาก มือ แขน ใบหน้า คันตา ตาแดง ระคายเคืองจมูก หายใจลำบาก และเกิดภาวะแพ้รุนแรง (anaphylactic) เป็นต้น และยังมีรายงานว่าเด็กที่รับประทานเมล็ดทับทิมแล้วเกิดอาการหอบหืดชนิดที่เกี่ยวข้องกับ IgE ขึ้น นอกจากนี้การทดสอบการแพ้ทางผิวหนังของผลสด พบว่ามีอาการแพ้
8. วิธีการใช้
8.1 การใช้ทับทิมรักษาอาการท้องเสียตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขมูลฐาน)
ก นำเปลือกทับทิมมาต้มกับน้ำจนเดือด ให้เด็กดื่มน้ำทับทิมครั้งละ 1-2 ช้อนชา ทุก 4 ชั่วโมง และ 1 ช้อนโต๊ะ สำหรับผู้ใหญ่
ข ใช้เปลือกแห้งฝนน้ำรับประทาน
8.2 ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ
ไม่มี
ขอบคุณข้อมูล :
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล